“10 คำถามคาใจ รีแพร์ – รีเทิร์นความสาว” พญ. วิทัศศนา เขตต์กลาง ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร สุขภาพดี
รีแพร์ เป็นสิ่งที่หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้าง หลายคนมีความต้องการจะทำ และบางคนถึงขั้นจำเป็นต้องทำ แต่ก็ยังลังเลไม่เข้าใจรายละเอียดชัดเจน และเขินอายเกินกว่าจะไปเอ่ยปากถามใครตรงๆ เราได้รวบรวมนำเอาคำถามฮิตๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้จักกับคำว่า “รีแพร์” ให้ดียิ่งขึ้น
1. รีแพร์ คืออะไร?
รีแพร์ คือ การผ่าตัด ตกแต่ง ช่องคลอด ที่มีความหย่อนยานให้กระชับขึ้น ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานาน, อายุที่มากขึ้น หรือเกิดจากการคลอดบุตร โดยอยู่ในรูปแบบของการทำศัลยกรรมตกแต่ง เพราะตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้เข้ารับการรักษา โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
แต่อย่างไรก็ตาม ในผู้เข้ารับการรักษาบางรายก็เป็นการผ่าตัด เพื่อรักษา อาการผิดปกติ ที่มีสาเหตุมาจาก ภาวะช่องคลอดหย่อนยาน เช่น ภาวะปัสสาวะเล็ด หรือภาวะมดลูกหย่อน เป็นต้น โดยเฉพาะในสาวใหญ่อายุเยอะ หรือคุณแม่ที่คลอดลูกตัวโต รวมทั้งคุณผู้หญิง ที่มีลูกหลายๆ คน
2. แล้วผู้หญิงแต่ละคนควรจะทำ รีแพร์ แบบไหน?
การทำ รีแพร์ มี 2 แบบ
อย่างแรก— ทำเพื่อรักษาภาวะกระบังลมหย่อน ซึ่งส่งผลต่ออาการผิดปกติต่างๆในอุ้งเชิงกราน และมีความจำเป็นต้องรักษา จะทำการรักษา โดยการผ่าตัดตกแต่งช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (Anterior Posterior Vaginal Repair)
อย่างที่สอง— คือ ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา แต่ต้องการทําผ่าตัด เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแพทย์จะผ่าตัด ตกแต่งช่องคลอด เพียงด้านหลังด้านเดียว (Vaginoplasty/Posterior Vaginal Repair) โดยขณะนี้มีวิทยาการการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ ซึ่งช่วยให้การผ่าตัดเจ็บน้อยกว่า และฟื้นตัวเร็วกว่า แต่อาจมีราคาสูงกว่าปกติ คือ ราคา 28,000 บาท (การผ่าตัดปกติ ราคาประมาณ 12,000 บาท)
ทั้งนี้การจะตัดสินใจทำผ่าตัด หรือไม่ทำผ่าตัดนั้น เป็นวิจารณญาณส่วนตัวของคุณผู้หญิงแต่ละคน หากส่งผลต่อสุขภาพ หรือความมั่นใจมาก ก็ควรจะทำเพื่อแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ดีต้องใคร่ครวญดูเสียก่อนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้หรือไม่ โดยเฉพาะในรายที่ต้องการผ่าตัดรักษา เพื่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตคู่
3. วาจิโนพลาสตี (Vaginoplasty) กับ รีแพร์ (Posterior Vaginal Repair) แตกต่างกันอย่างไร?
จริงๆ แล้ว ก็คือ การผ่าตัด ตกแต่งช่องคลอด เหมือนกัน เพียงแต่ที่ ศูนย์จุดซ่อนเร้นของเราให้นิยาม Vaginoplasty (VG) คือ การทำ รีแพร์ แบบที่ไม่ต้องตัดเนื้อเยื่อช่องคลอดออกมากเท่ากับการทำ รีแพร์ ทั่วไป เนื่องจากผู้เข้ารับการรักษาไม่ได้ผ่านการมีบุตร หรือไม่ได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มามากนัก
ซึ่ง Vaginoplasty นั้นสามารถแยกย่อยออกไปอีก อาทิ การทำผ่าตัดร่วมกับการผ่าตัด ตกแต่งเยื่อพรหมจารี เพื่อทำให้ช่องคลอดมีลักษณะคล้ายก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ซึ่งมักทำในประเทศ หรือในสังคมที่เคร่งครัด เรื่องการมีเลือดออกในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ซึ่งผู้ที่จะทำการผ่าตัดชนิดนี้ได้ผล จะต้องผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาไม่มากนัก และไม่เคยคลอดบุตรมาก่อน
4. ก่อน-หลัง การผ่าตัด รีแพร์ ต้องเตรียมตัวและดูแลตัวเองอย่างไร?
ก่อนทำการผ่าตัด คุณหมอจะมีการซักประวัติ และตรวจร่างกายทั่วไป รวมทั้งมีการตรวจภายใน เพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูก ในวันที่ต้องการผ่าตัดจะต้องงดน้ำและงดอาหาร ก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
ส่วนหลังการผ่าตัด ต้องงดออกกำลังกาย 1 เดือน งดมีเพศสัมพันธ์ 2 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าแผลหายสนิท และพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด เดินให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด หลังจากนั้นแม้จะเคลื่อนไหวได้ แต่ก็ควรพยายามเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันภาวะแผลแยก, ภาวะแผลอักเสบ และช่วยทำให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น
หัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับ รีแพร์
รีแพร์ – ขนาดใครคิดว่าไม่สำคัญ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ทำรีแพร์ หรือ ตกแต่งช่องคลอด
รูปภาพ ก่อน-หลังการผ่าตัด
5. ผลข้างเคียง หลังการทำ ผ่าตัด รีแพร์ มีอะไรบ้าง?
อาการมึนงง, เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้อาเจียน หลังการทำผ่าตัด–จากการได้ยาฉีดช่วยหลับขณะทำผ่าตัด
ภาวะปวดแผลผ่าตัด– เมื่อยาชาที่ใช้ในการผ่าตัดหมดฤทธิ์ ซึ่งแพทย์จะจัดยาแก้ปวดให้รับประทานหลังการผ่าตัด
เลือดคั่งหรือเลือดออกผิดปกติ– ในระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด อาจพบได้ แต่พบได้น้อยมากประมาณน้อยกว่า ร้อยละ 1 ของการผ่าตัด
อาจจะมีอาการปัสสาวะลำบากหลังการผ่าตัด– อาจพบได้ประมาณน้อยกว่า ร้อยละ 1 ของการผ่าตัด ซึ่งเกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอด หลังจากการผ่าตัดในระยะแรก
มีตกขาวมากกว่าปกติหลังการผ่าตัด– เนื่องจากภายในช่องคลอดจะเต็มไปด้วยน้ำ หรือสารคัดหลั่งในช่องคลอด รวมทั้งแบคทีเรียต่างๆ ทําให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อที่ผ่าตัด และไหมที่เย็บแผลผ่าตัดในช่องคลอด
แผลอักเสบหรือแผลติดเชื้อ– เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่ภายในช่องคลอด ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ทางเดินปัสสาวะและทางเดินอุจจาระ ซึ่งมีแบคทีเรียชนิดต่างๆ ที่พร้อมที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน จากการอักเสบและการติดเชื้อที่แผลผ่าตัดได้ตลอดเวลา
6. สาวน้อย สาวใหญ่ วัยไหนนิยม การทำผ่าตัด รีแพร์ มากกว่ากัน?
ผู้หญิงที่เข้ามารับการ ผ่าตัด รีแพร์ มักอยู่ในวัย 30-50 ปี ที่อยู่ในช่วงเวลาของการแต่งงานและการมีลูก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมตกแต่ง เช่นเดียวกับสาวๆ ในช่วงวัย 20 ปี ซึ่งเคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และต้องการเสริมความมั่นใจ ส่วนสาวใหญ่วัย 60 ปีขึ้นไป โดยมากจะเป็นการผ่าตัดรักษาอาการมดลูกหย่อน
7. การทำผ่าตัด รีแพร์ ฮิตแค่ไหนในหมู่สาวต่างแดน?
การทำผ่าตัด รีแพร์ เริ่มได้รับการยอมรับ และได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่ของการทำศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความสวยงามและความมั่นใจ อย่างสาวๆในโซนที่มีขนาดตัวใหญ่ ซึ่งจะมีขนาดช่องคลอดและแคมเล็กที่มีขนาดใหญ่ตามขนาดตัว ก็นิยมเข้ามาปรับเปลี่ยนให้มีขนาดเล็กลง โดยเฉพาะสาวๆ ออสเตรเลีย ส่วนในโซนประเทศที่อยู่ใกล้ เรา ก็มีทั้ง เกาหลี และ ญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยม แต่ประเทศที่มีการทำรีแพร์เยอะที่สุดหนีไม่พ้นประเทศไทยของเรานั่นเอง
8. หลังการทำผ่าตัด รีแพร์ แล้วเวลามีเซ็กส์ผู้ชายจะรู้ไหม?
หลังการผ่าตัดและพักฟื้นจนกระทั่งแผลหายสนิท การทำ รีแพร์ จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้เป็นที่คาใจอีกต่อไป เนื่องจากใน ช่องคลอด เป็นบริเวณที่มีเลือดไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงมาก จึงไม่มีรอยแผลเป็น เพราะฉะนั้นหลังผ่านการทำ รีแพร์ มาแล้ว เขาคนนั้นจะไม่สามารถรู้ หรือรู้สึกได้ว่าคุณเคยผ่านการทำผ่าตัดมาหรือไม่
9. อ้วนหรือผอมมีผลให้ต้อง ทำรีแพร์ หรือไม่?
หากจะพูดถึงเรื่องขนาดร่างกายนั้น คนผอมกลับมีโอกาสที่จะมีช่องคลอดหลวมและกว้างกว่าคนอ้วน ประสบปัญหามีลมออกมาขณะมีเพศสัมพันธ์ เพราะมีไขมันใต้ผนังช่องคลอดไม่มากนัก จนบางครั้งทำให้สูญเสียความมั่นใจ ในทางกลับกันกับคนอ้วนที่จะมีไขมันใต้ผนังช่องคลอดมากกว่า จึงทำให้ช่องคลอดหลวมน้อยกว่า และประสบปัญหามีลมออกมาขณะมีเพศสัมพันธ์น้อยกว่า
แต่คนอ้วนจะประสบปัญหา เนื่องจากน้ำหนักตัวส่วนช่องท้องกดทับกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน ส่งผลให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน มีอาการปัสสาวะเล็ด ดังนั้นคนผอมอาจมีความต้องการทำ รีแพร์ ในแง่ของการลดขนาดช่องคลอด แต่คนอ้วนมีความเสี่ยงจะต้องทำ รีแพร์ เพื่อการรักษาอาการที่เกิดเนื่องจาก ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน
10. เคสไหนคุณหมอไม่แนะนำให้ทำผ่าตัด รีแพร์?
กรณีแรกคือ ผู้ป่วยเบาหวาน เพราะแผลของผู้ป่วยเบาหวาน สามารถอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ แต่หากมีอาการมดลูกหย่อนที่จำเป็นต้องผ่าตัด ก็ต้องมีการควบคุมเบาหวาน ให้ระดับนํ้าตาลให้อยู่ในระดับปกติ ก่อนและหลังผ่าตัดจนกว่าแผลผ่าตัดจะหายดี
ส่วนอีกกรณีคือ ผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศภายใน 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด อย่างเช่น อาชีพที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เพราะใน 1 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัดยังไม่อยู่ในระยะที่ปลอดภัยเพียงพอที่จะเดินทาง เสี่ยงต่อการเกิดแผลแยก แผลอักเสบ และแผลฉีกขาดในที่สุด ซึ่งในแต่ละประเทศนั้นมีกฎหมายแตกต่างกัน ในเรื่องของการ ทำรีแพร์ บางประเทศ สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย แต่หมอมักไม่อยากรักษาต่อ เพราะไม่แน่ใจในวิธีการดูแลรักษา เพราะเป็นศัลยกรรมตกแต่งแขนงใหม่ เสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง บางประเทศก็ถือเป็นการผ่าตัดที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นหากเดินทางแล้วแผลแยก และเกิดมีเลือดออกมาก ในประเทศที่การทำรีแพร์ผิดกฎหมาย ก็อาจจะมีปัญหา ในการขอคำปรึกษาและการรักษาได้ ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
Expert Says: เกี่ยวกับการทำผ่าตัด รีแพร์ พญ. วิทัศศนา เขตต์กลาง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ศัลยกรรมตกแต่งจุดซ่อนเร้น กล่าวว่า
อย่างที่กล่าวมาแต่แรกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความสบายใจ ความพอใจของคนสองคนและเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ดังนั้นสาวๆ คนไหนคิดอยาก ทำรีแพร์ จึงควรไตร่ตรองดูให้ถี่ถ้วนก่อนว่า จะสามารถแก้ปัญหาที่ประสบอยู่ได้จริงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจทำการผ่าตัด
ที่สำคัญที่สุดคือต้องเลือกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะเท่านั้น เพราะการเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ทั้งในแง่ของการผ่าตัดและการดูแลหลังผ่าตัด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีตามความต้องการ
Tip : สำหรับคุณผู้หญิงที่กลัวการทำผ่าตัด รีแพร์ การขมิบอย่างถูกวิธีถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ช่วยชะลอความหย่อนยานของช่องคลอด การขมิบช่องคลอดก็เป็นเหมือนการบริหารหรือเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานอีกอย่างหนึ่ง แต่ต้องเป็นการขมิบที่ถูกวิธี โดยทำติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนอย่างสม่ำเสมอ