การผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด คืออะไร และผ่าตัดเพื่ออะไร?
การผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด คือ การผ่าตัดเพื่อรักษาภาวะบกพร่องของผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษา ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนหรือกระบังลมหย่อน
ซึ่งสาเหตุเกิดเนื่องจากโครงสร้างต่างๆ ที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานนั้นเสื่อมตัวและอ่อนแอลง ทําให้ผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลังบางลง ส่งผลให้มีก้อนโผล่เข้าไปในช่องคลอด หรือบริเวณปากช่องคลอด –เนื่องจากอวัยวะต่างๆที่อยู่รอบๆผนังช่องคลอด–ดันผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (ดังรูป) ทำให้เวลาพิเศษของคุณแย่ลง และคุณอาจจะต้องการ–การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ปัจจุบันมีการนำ เลเซอร์ มาใช้ใน การผ่าตัดซึ่งส่งผลให้การผ่าตัดมีความแม่นยำ และเที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเลเซอร์สามารถควบคุมความความลึกของแผลผ่าตัดได้ ทําให้ช่วยลดการเสียเลือด รวมทั้งช่วยลดการทำลายเส้นเลือดที่มาเลี้ยงแผลผ่าตัดและเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านล่างของแผลผ่าตัด ทําให้ส่งผลดีต่อกระบวนการหายของแผลผ่าตัด เมื่อเทียบกับการทำผ่าตัดโดยการใช้ใบมีดแบบดั้งเดิม
สาเหตุและอาการของภาวะกระบังลมหย่อน ที่อาจต้องการการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
1) สาเหตุของการเกิดภาวะกระบังลมหย่อน ได้แก่ :
- การคลอดลูกหลายคน หรือใช้เวลาในการเบ่งคลอดนาน
- การใช้ปากคีม หรือเครื่องดูดสูญญากาศในการช่วยคลอด
- การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เนื่องจากภาวะหมดประจําเดือน
- การตัดเพื่อขยายปากช่องคลอด ในการคลอดลูก ทําให้ปากช่องคลอดฉีกขาด
- การมีประวัติอาการท้องผูกเรื้อรัง ความเครียดเรื้อรัง–(มีผลกับการเคลื่อนไหว หรือการทำงานของลำไส้)
- เกิดตามหลังการตัดมดลูก เพราะการตัดมดลูก ทําให้มีการตัดหรือเกิดการทําลายโครงสร้างต่างๆ ที่พยุงมดลูก รวมทั้งเอ็นและเนื้อเยื่อที่พยุงช่องคลอดทางด้านบน ที่อยู่รอบๆ ปากมดลูก ที่ช่วยพยุงอวัยวะต่างๆ ในอุ้งเชิงกราน
2) อาการขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเกิดภาวะกระบังลมหย่อน :
- มีอาการเจ็บ ขณะที่มีเพศสัมพันธ์
- ขาดความสุข หรือไม่ถึงจุดสุดยอด
- มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ในช่วงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
- ลดความสามารถ (จำนวนครั้ง) ที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ต่อ 1 สัปดาห์
3) อาการทางลำไส้หรือทางเดินปัสสาวะ เมื่อเกิดภาวะกระบังลมหย่อน :
- มีอาการท้องผูกเรื้อรัง
- รู้สึกมีอาการปวดถ่วงที่ปากช่องคลอด
- มีอาการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะบ่อยๆ
- ปัสสาวะบ่อย หรือรู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา
- รู้สึกว่าถ่ายปัสสาวะ หรือถ่ายอุจจาระได้ไม่หมด
- รู้สึกมีแรงดันที่ปากช่องคลอดและช่องคลอด หรือมีแรงดันที่กระเพาะปัสสาวะ
- มีอาการปัสสาวะเล็ดขณะที่คุณ ไอ, จาม, วิ่งออกกําลังกาย, เวลาทำกีจกรรมทางกายภาพหรือเวลายกของหนัก
การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหน้า
การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
ในภาวะอุ้งเชิงกรานที่หย่อนคล้อยทางด้านหลัง
1) ข้อควรทราบและการเตรียมตัว ก่อนการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
การผ่าตัดนี้จะช่วยแก้ไขภาวะท่อปัสสาวะ, กระเพาะปัสสาวะ, ลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงหย่อน ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนหรือกระบังลมหย่อน ดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นด้วย ทั้งนี้ในกรณีของการรักษาเรื่องอาการปัสสาวะเล็ดนั้น การผ่าตัดนี้ไม่สามารถรักษาอาการปัสสาวะเล็ดได้ถาวร ผู้ป่วยมีโอกาสที่จะกลับมามี ภาวะปัสสาวะเล็ด ได้อีก ภายในระยะ 5 ปี หลังการผ่าตัด
ในช่วงของการปรึกษาผู้ป่วยจะได้พบกับ แพทย์หญิง วิทัศศนา เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการซักประวัติและตรวจภายใน กรณีที่มีการติดเชื้ออยู่ในช่องคลอด เช่น เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย ควรรักษาภาวะติดเชื้อในช่องคลอดให้หายก่อนทำการผ่าตัด
หลังการตรวจภายใน ผู้ป่วยจะได้รับการอธิบาย เกี่ยวกับพยาธิสภาพความหย่อนยานของช่องคลอดก่อนการผ่าตัด, ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัด, การให้ยาระงับความรู้สึกขณะทำการผ่าตัด, ประโยชน์หรือผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการทำผ่าตัด, ทางเลือกในการรักษา และรายละเอียดเกี่ยวกับการพักฟื้นหลังการผ่าตัด รวมทั้งจะมีการแจ้งราคา ค่าผ่าตัดแก้ไขกระบังลมหย่อน ก่อนการตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด
หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการอธิบายเกี่ยวกับ ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนทั่วไปของการผ่าตัด ได้แก่ ภาวะเลือดออกผิดปกติ, ภาวะแผลติดเชื้อ, ภาวะแผลแยก, ความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด, การแพ้ยาหรือสารอื่นๆที่ใช้ในการผ่าตัด, การเกิดตกขาวมากผิดปกติ, การเกิดเชื้อราในช่องคลอด และ ภาวะแทรกซ้อนจำเพาะของการผ่าตัด ได้แก่ ภาวะปัสสาวะลําบาก, ภาวะปัสสาวะไม่ออกหลังการผ่าตัด, การเกิดรูรั่วระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด, การเกิดรูรั่วระหว่างลําไส้กับช่องคลอดหลังการผ่าตัด เป็นต้น
การผ่าตัดนี้มีข้อจำกัด ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์และความพึงพอใจ ในผู้ป่วยแต่ละคนได้ทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ได้แก่ กรณีมีภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนร่วมกับมีมดลูกหย่อนด้วย อาจจำเป็นต้องทำผ่าตัดมดลูกออกทางช่องคลอดร่วมด้วย และนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของผู้ป่วย เพราะโรคประจำตัวบางชนิด ส่งผลต่อกระบวนการหายของแผลผ่าตัด รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับการดูแลแผลผ่าตัดที่ถูกต้องของผู้ป่วย ในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยเกินการควบคุมของแพทย์ ซึ่งแพทย์จะแจ้งให้ผู้ป่วยรับทราบก่อนการผ่าตัด
ทั้งนี้อาจจะเกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ที่ทําให้การผ่าตัดมีผลคลาดเคลื่อนเกิดขึ้น การผ่าตัดแก้ไขก็อาจทำได้ โดยการพิจารณาตามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยและแพทย์ควรจะปรึกษาร่วมกัน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังการผ่าตัด โดยเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายา, ค่าห้องและค่าใช้จ่ายทางวิสัญญีตามจริง
บริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากภาวะเลือดออกมากผิดปกติในระหว่างผ่าตัดหรือหลังการผ่าตัดได้ เพราะเป็นการผ่าตัดในช่องคลอด ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดค่อนข้างมาก ภาวะเลือดออกผิดปกติ อาจพบได้ประมาณน้อยกว่าร้อยละ 1 แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ดังนั้นผู้ป่วยควรหยุดรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน หรือกลุ่มยาลดการแข็งตัวของเลือด 10-15 วัน ก่อนหรือหลังการผ่าตัด
อีกทั้งบริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากภาวะแผลแยกได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่ในบริเวณที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยควรจะต้องหยุดทำงาน และงดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำเป็นประจำในช่วง 5-7 วันแรกหลังการผ่าตัด รวมทั้งในส่วนแพทย์ที่ทำผ่าตัดจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในการผ่าตัด และมีเทคนิคการเย็บแผลผ่าตัดที่ดี ในการป้องกันการเกิดภาวะแผลแยก
นอกจากนี้บริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากการอักเสบและการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ซึ่งทำให้เกิดภาวะแผลแยกได้ เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่บริเวณที่อับชื้น รวมทั้งอยู่ใกล้ทางเดินปัสสาวะและทางเดินอุจจาระ ซึ่งมีแบคทีเรียชนิดต่างๆ ที่อาจให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้ ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อแล้วเกิดแผลแยก โดยการฉีดยาปฏิชีวนะก่อนการผ่าตัด และการรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสําคัญ
การผ่าตัดนี้จะทำการผ่าตัดโดยการดมยาสลบ ผู้ป่วยจึงต้องงดน้ำและอาหาร ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักเศษอาหาร ในระหว่างหรือหลังจากการทำผ่าตัด
ใครที่ไม่แนะนำให้ทำการผ่าตัด และต้องปรึกษแพทย์ก่อนการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
ต้องการอ่านเพิ่มเติม โปรดคลิ๊ก
ปัญหาทั่วไปของ อวัยวะเพศ ภายนอกของ ผู้หญิง
คำถามบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัด รีแพร์ ด้านหน้า และ ด้านหลังผนังช่องคลอด
2) อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ขั้นตอนก่อนการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
3) ขั้นตอนการผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด
การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยการดมยาสลบ เมื่อผู้ป่วยหลับแพทย์จึงจะทําการผ่าตัด โดยเริ่มจากการผ่าตัดทางด้านหน้าของผนังช่องคลอด โดยการเลาะเอาผนังช่องคลอดด้านหน้า ส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดทิ้ง ดังนั้นผนังช่องคลอดทางด้านหน้าจะขาดออกจากกันเป็นรูปลิ่ม หรือตัววีกลับหัว ( V ) –(โดยที่ด้านแหลมของตัว V อยู่ใกล้กับปากช่องคลอด-ด้านกว้างของตัว V อยู่ใกล้กับปากมดลูก)—หลังจากนั้นแพทย์จะนําขอบแผลทั้งสองข้าง (หรือขาของตัว Vทั้งสองข้าง) มาชิดกันใหม่–แล้วจะทําการเย็บขอบแผลให้ติดกันด้วยไหมละลายช้า โดยเริ่มที่ด้านแหลมของตัว V ที่อยู่ใกล้กับปากช่องคลอดก่อน (ดังรูป) โดยจะทําการเย็บซ่อมผนังช่องคลอดตลอดความยาวทั้งหมดของผนังช่องคลอดทางด้านหน้า–โดยทําการเย็บทั้งหมด 2 หรือ 3 ชั้นตามความเหมาะสม และเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการเกิดแผลแยก ที่จะทําให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ
การผ่าตัดตกแต่งด้านหน้าช่องคลอด
หลังจากนั้นแพทย์ก็จะทําการผ่าตัดในกระบวนการเช่นเดียวกัน ที่ทางด้านหลังของผนังช่องคลอด โดยแพทย์จะทําการผ่าตัดเลาะเอาผนังช่องคลอดด้านหลังส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดทิ้ง ดังนั้นผนังช่องคลอดทางด้านหลังจะขาดออกจากกันเป็นรูปลิ่มหรือตัววีกลับหัว ( V ) โดยที่ด้านแหลมของตัว V อยู่ใกล้กับปากมดลูก-ด้านกว้างของตัว V อยู่ใกล้กับปากช่องคลอด
หลังจากนั้นแพทย์จะนําขอบแผลทั้งสองข้างหรือขาของตัว V ทั้งสองข้างมาชิดกันใหม่–แล้วจะทําการเย็บขอบแผลให้ติดกันด้วยไหมละลายช้า โดยเริ่มที่ด้านแหลมของตัว V ที่อยู่ใกล้กับปากมดลูกก่อน–ทั้งนี้แพทย์จะทําการเย็บซ่อมผนังช่องคลอดตลอดความยาวทั้งหมดของผนังช่องคลอดทางด้านหลัง (ดังรูป) โดยทําการเย็บทั้งหมด 2 หรือ 3 ชั้นตามความเหมาะสม
การผ่าตัดตกแต่งด้านหลังช่องคลอด
ผลลัพธ์ที่ได้คือจะทำให้ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนดีขึ้น และในขณะเดียวกันก็ทำให้ช่องคลอดกระชับขึ้นด้วย ผู้ป่วยจำเป็นต้องใส่ผ้ากอซ (vagina packing ) ไว้ในช่องคลอด 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด เพื่อช่วยห้ามเลือด และใส่สายสวนปัสสาวะไว้ 3-5 วันหลังการผ่าตัด
การผ่าตัด ตกแต่งด้านหน้าและด้านหลังช่องคลอด เป็นหนึ่งในกลุ่มในกลุ่มของ ศัลยกรรมนรีเวชทางเดินปัสสาวะ ที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยแพทย์ที่ผ่าตัดต้องมีความรู้, ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างทางกายวิภาคของหัวหน่าว และมีทักษะการผ่าตัดที่ความแม่นยำเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ศัลยแพทย์ส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ หรือมีประสบการณ์ทางด้านศัลยกรรมเพื่อความงามประเภทนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นผู้เข้ารับบริการจำเป็นต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของแพทย์ที่จะทำการผ่าตัด