1) ข้อมูลที่ควรทราบและการเตรียมตัว ก่อนการตัดสินใจทําการผ่าตัด ตกแต่งเยื่อพรหมจารี
การผ่าตัดชนิดนี้ เป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ความประณีต และความระมัดระวังค่อนข้างสูง โดยการผ่าตัดเพื่อนำขอบของ เยื่อพรหมจารี และเนื้อเยื่อรอบๆ เยื่อพรหมจารีที่ฉีกขาด มาทําการเย็บซ่อมด้วยไหมละลายช้าเส้นเล็ก ให้เป็นรูปวงแหวนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นลักษณะของเยื่อพรหมจารีก่อนที่จะฉีกขาด
ในการผ่าตัดนี้ ในบางครั้งจำเป็นต้องทำคู่กับการผ่าตัด ตกแต่งปากช่องคลอด เนื่องจากในผู้เข้ารับการผ่าตัดที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน มักจะมีการขยายของ ปากช่องคลอด ร่วมด้วย อีกทั้งการเย็บ เยื่อพรหมจารี ซึ่งเป็นเพียงเยื่อบางๆ อาจจะไม่สามารถจะเย็บให้ติดได้หมดทุกจุด จําเป็นต้องอาศัยการผ่าตัด ตกแต่งปากช่องคลอด เพื่อช่วยลดความตึงที่บริเวณแผลผ่าตัดที่เย็บเยื่อพรหมจารี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการแยกของแผลผ่าตัดหลังการเย็บซ่อม อีกทั้งการผ่าตัด ตกแต่งปากช่องคลอดให้แคบลง จะช่วยเสริมให้บริเวณปากช่องคลอดให้กลับไปสู่สภาพใกล้เคียง–คล้ายกับลักษณะของปากช่องคลอด ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง เมื่อเข้าสู่พิธีแต่งงาน
ทั้งนี้เเพทย์ควรพิจารณาให้การผ่าตัดชนิดนี้ เฉพาะผู้เข้ารับการผ่าตัด ที่มีความจําเป็นตามค่านิยม, ความเชื่อทางวัฒนธรรมหรือทางศาสนาจริงๆ รวมทั้งควรพิจารณาทำผ่าตัด ในผู้ที่ยังไม่เคยผ่านการตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตรมาก่อน
ในช่วงของการปรึกษา ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดจะได้พบกับ แพทย์หญิง วิทัศศนา เพื่อซักประวัติและตรวจภายใน กรณีที่มีการติดเชื้ออยู่ในช่องคลอด เช่น เชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย ควรรักษาภาวะติดเชื้อในช่องคลอดให้หายก่อนทำการผ่าตัด
หลังการตรวจภายใน ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการอธิบาย เกี่ยวกับสภาพของ เยื่อพรหมจารี ก่อนการผ่าตัด, ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัด, การให้ยาระงับความรู้สึกในการผ่าตัด, ประโยชน์หรือสภาพของเ ยื่อพรหมจารี หลังการทำผ่าตัด, ทางเลือกในการรักษ และรายละเอียดเกี่ยวกับการพักฟื้นหลังการผ่าตัด รวมทั้งรายละเอียดของค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด
หลังจากนั้นผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด จะได้รับการอธิบายเกี่ยวกับ ความเสี่ยงและ ภาวะแทรกซ้อน ทั่วไปของการผ่าตัด ได้แก่ ภาวะเลือดออก, ภาวะแผลติดเชื้อ, ภาวะแผลแยก, ความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด, การแพ้ยา หรือสารอื่นๆ ที่ใช้ในการผ่าตัด, การเกิดตกขาวมากผิดปกติ, การเกิดเชื้อราในช่องคลอด และภาวะแทรกซ้อนจำเพาะของการผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดมีผลคลาดเคลื่อนหลังการผ่าตัด คือไม่สามารถจะเย็บให้เยื่อพรหมจารีให้ติดได้หมดทุกจุด, มีโอกาสที่จะเกิดแผลผ่าตัดแยก หรือฉีกขาดหลังการเย็บซ่อม
รูปภาพ A, B, C และ D แสดงภาพบริเวณปากช่องคลอด พร้อมกับเยื่อพรหมจารีแบบต่างๆ
รูปภาพประกอบ E แสดงให้เห็นถึงเยื่อพรหมจารีของผู้หญิง ที่ให้กำเนิดบุตรมาแล้ว
การผ่าตัดมีข้อจำกัด ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์ และความพึงพอใจในผู้เข้ารับการผ่าตัดแต่ละคนได้ทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเดิมของเยื่อพรหมจารีของผู้เข้ารับการผ่าตัด ได้แก่ กรณีเยื่อพรหมจารีบางมาก หรือมีรอยฉีกขาดเล็กๆ มากกว่า 3-4 จุดขึ้นไป โอกาสที่จะประสบความสำเร็จใ นการเย็บซ่อมวงรอบของเยื่อพรหมจารีก็จะมีน้อยลง คืออาจจะไม่ติดทุกจุดหรือเย็บติดเพียงบางส่วน (ไม่ครบวงทั้งหมด) และนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของผู้เข้ารับการผ่าตัด เพราะโรคประจำตัวบางชนิด ส่งผลต่อกระบวนการหายของแผลผ่าตัด รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับการดูแลแผลผ่าตัดที่ถูกต้องของผู้เข้ารับการผ่าตัด ในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยเกินการควบคุมของแพทย์ ซึ่งแพทย์จะแจ้งให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดรับทราบก่อนผ่าตัด
อย่างไรก็ตามทั้งนี้อาจจะเกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ทําให้ผลการผ่าตัดคลาดเคลื่อน หรือเป็นความต้องการของผู้เข้ารับการผ่าตัด ที่ต้องการผ่าตัดแก้ไขก็อาจทำได้ โดยการพิจารณาตามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ทั้งนี้ผู้เข้ารับการผ่าตัดและแพทย์ ควรจะพิจารราร่วมกัน ซึ่งผู้เข้ารับการผ่าตัดจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังการผ่าตัด โดยเสียค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาและค่าใช้จ่ายทางวิสัญญีตามจริง
บริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากภาวะเลือดออกผิดปกติ ในระหว่างผ่าตัดหรือหลังการผ่าตัดได้ เนื่องจากบริเวณเยื่อพรหมจารีเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดค่อนข้างมาก ซึ่งภาวะเลือดออกผิดปกติ อาจพบได้ประมาณน้อยกว่าร้อยละ 1 แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ดังนั้นผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัด ไม่ควรรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน หรือกลุ่มยาลดการแข็งตัวของเลือด 10-15 วัน ก่อนหรือหลังการผ่าตัด
อีกทั้งบริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากภาวะแผลแยกได้ค่อนข้างมาก เนื่องจากเยื่อพรหมจารีเป็นเนื้อเยื่อที่ค่อนข้างบอบบาง และในการผ่าตัดชนิดนี้จะมีการใช้ไหมเส้นเล็กเย็บแผล ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลแยก แล้วทำให้มีเลือดออกผิดปกติได้ อีกทั้งในการผ่าตัดนี้แผลผ่าตัดอยู่ในบริเวณที่จะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหว ดังนั้นผู้เข้ารับการผ่าตัด ควรจะต้องหยุดทำงาน และงดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำเป็นประจำ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังการผ่าตัด รวมทั้งในส่วนของแพทย์ที่ทำผ่าตัดจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในการผ่าตัด และมีเทคนิคการเย็บแผลผ่าตัดที่ดี ในการป้องกันการเกิดภาวะแผลแยก
นอกจากนี้บริเวณที่ทำการผ่าตัด มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน จากการอักเสบและการติดเชื้อของแผลผ่าตัด ซึ่งทำให้เกิดภาวะแผลแยกได้ เนื่องจากแผลผ่าตัดอยู่บริเวณที่อับชื้น รวมทั้งอยู่ใกล้ทางเดินปัสสาวะและทางเดินอุจจาระ ซึ่งมีแบคทีเรียชนิดต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อได้ ดังนั้นการป้องกันการติดเชื้อ โดยการฉีดยาปฏิชีวนะก่อนการผ่าตัด และการรับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสําคัญ
ซึ่งในการผ่าตัดจะทำการผ่าตัด โดยการการฉีดยาชาเฉพาะที่ร่วมกับการฉีดยานอนหลับเข้าหลอดเลือดดํา ผู้ต้องการเข้ารับการผ่าตัดจึงต้องงดน้ำและอาหาร ก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักเศษอาหาร ในระหว่างหรือหลังจากการทำผ่าตัด