ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อนภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่ออวัยวะภายใน อุ้งเชิงกราน ของผู้หญิง ได้แก่ มดลูก, ผนังช่องคลอด หรือทั้งสองอย่าง หย่อนลงมาจากตำแหน่งเดิมที่อยู่ภายใน ช่องคลอด หรือในบางรายอาจหย่อนออกมานอก ช่องคลอด อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกวัย แต่เป็นภาวะที่มักพบได้

  1. ในสุภาพสตรีที่มีอายุมาก
  2. โดยเฉพาะกับสุภาพสตรีที่เคยคลอดบุตร ที่มีขนาดตัวค่อนข้างตัวใหญ่
  3. สุภาพสตรีที่ผ่านการคลอดบุตร มาแล้วหลายๆ ครั้ง ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานซ้ำๆ บ่อยครั้ง
  4. สุภาพสตรีที่ผ่านระยะเวลา ในการทำงานที่ต้องใช้กำลังมาก ที่ส่งผลให้มีการเพิ่มความดันภายในช่องท้องมาเป็นเวลานาน
  5. สุภาพสตรีที่มีน้ำหนักตัวมาก (คนอ้วน) หรือสุภาพสตรีที่มีความผิดปกติของเนื้อเยื่อหรือกล้ามเนื้ออ่อนแอโดยกำเนิด รวมทั้งสุภาพสตรีที่สูบบุหรี่ ทำให้มีภาวะไอเรื้อรัง

การรักษา ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน

ชนิดที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาได้โดยการขมิบช่องคลอด เพื่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน แต่สำหรับผู้ที่มีภาวะ อุ้งเชิงกรานหย่อน ในระดับรุนแรง เช่น มดลูกหย่อนออกมานอก ช่องคลอด จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อสร้างเสริมผนังช่องคลอดใหม่, การผ่าตัดใส่แผ่นพยุงมดลูก หรือโดยการผ่าตัดเย็บตรึงมดลูกให้ยึดติดกับเนื้อเยื่อใกล้เคียงที่อยู่ในช่องท้อง ทำให้มดลูกกลับไปยังตำแหน่งเดิม โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดมดลูกออก

แต่แนวทางปฏิบัติทางนรีเวชศาสตร์แบบดั้งเดิม สนับสนุนการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออก ในการรักษาภาวะ อุ้งเชิงกรานหย่อน จากสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าในผู้หญิงที่ทำการผ่าตัดมดลูกออกราว 600,000 รายนั้น พบว่ามี 13% ของทั้งหมด เป็นการผ่าตัดมดลูกออกเนื่องจาก ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน อย่างไรก็ตามยังมีข้อโต้แย้งกันว่า การผ่าตัดเอามดลูกออกนั้น อาจไม่จำเป็น ควรใช้การผ่าตัดเย็บตรึงมดลูก ซึ่งสามารถใช้ทดแทนกันได้

อาการที่เกิดขึ้นเนื่องจาก ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน

ส่งผลให้ กระเพาะปัสสาวะห รือ ลำไส้ใหญ่ เกิดการหย่อนคล้อย อันเป็นผลเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ ที่อยู่ระหว่างผนังช่ องคลอด ด้านหน้า และ ด้านหลัง ตามลำดับ อาการของ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนนี้ อาจทำให้มีความรู้สึกว่ามีแรงดันถ่วงภายใน อุ้งเชิงกราน หรือการที่มีอวัยวะใน อุ้งเชิงกราน ยื่นออกมาจาก ช่องคลอด จนสามารถมองเห็นได้ อาการนี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น อาการของ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ขั้นรุนแรงในระดับ ขั้นที่ 3-4

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน อาจจะไม่สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าการที่ตำแหน่งของอวัยวะต่างๆ ใน อุ้งเชิงกราน ที่เปลี่ยนไป สามารถก่อให้เกิดอาการ หรือส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินปัสสาวะและลำไส้ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยมักจะรู้สึกว่ากระเพาะปัสสาวะปวดถ่วงมากกว่าปกติ เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เมื่อทำกิจวัตรต่างๆ ที่ใช้ร่างกาย เช่น การหัวเราะ, การไอ, การเดิน และ/หรือการวิ่ง รวมทั้งขณะมีเพศสัมพันธ์

เนื่องจาก ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน

มีความซับซ้อน ส่งผลให้ในผู้ป่วยแต่ละคน ก็จะมีอาการแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าภาวะหย่อนยานนั้นเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่มารับการรักษา เพราะไม่มีอาการหรือมีอาการไม่มาก แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่ไม่มารับการรักษา เนื่องจากความอาย หรือไม่ทราบว่าภาวะดังกล่าวนี้สามารถรักษาได้ พบว่าถึงแม้ว่าอุบัติการณ์ทั่วโลกจะพบผู้ป่ว ยภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ในเปอร์เซ็นต์สูง แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบคล้ายกันคือ ผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ เนื่องจากมักคิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ อีกทั้งเป็นเรื่องความเชื่อ หรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่

ต้องการอ่านเพิ่มเติม โปรดคลิ๊ก

ปัญหาทั่วไปของอวัยวะเพศภายนอกของผู้หญิง

คำถามบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดรีแพร์ด้านหน้าและด้านหลังผนังช่องคลอด

ในทางการแพทย์แบ่งกลุ่มอาการ เนื่องจาก ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน ออกเป็น  3  กลุ่มอาการที่สำคัญ  ได้แก่

1) อาการเกี่ยวกับ การมีเพศสัมพันธ์

  • รู้สึกช่องคลอดหลวม ทำให้เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีลมหรือมีเสียงขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ลดความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์

2) อาการเกี่ยวกับ การหย่อนของอวัยวะใน อุ้งเชิงกรานหย่อน โดยตรง

  • มดลูกที่หย่อน ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกรำคาญปวดหน่วง
  • มีอาการเดินลำบาก มีการเสียดสีของมดลูกที่หย่อน ขณะเดินหรือเคลื่อนไหว ทำให้มีแผลที่ปากมดลูกหรือมีตกขาวผิดปกติ

3) อาการเกี่ยวกับ ระบบทางเดินอุจจาระ หรือ ระบบทางเดินปัสสาวะ

  • มีอาการท้องผูก, กลั้นอุจจาระไม่ได้, มีภาวะปัสสาวะเล็ด, ปัสสาวะราด, ปัสสาวะบ่อย,  ปัสสาวะลำบาก
  • บางครั้งคนไข้ต้องดันก้อนมดลูก ที่หย่อนออกมานอกช่องคลอด ให้เข้าไปในช่องคลอดก่อน จึงจะถ่ายปัสสาวะได้

ซึ่งอาการทั้ง 3 กลุ่ม สามารถพบร่วมกันได้ ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน สามารถแบ่งได้เป็น ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เนื่องจาก

  1. มดลูกหย่อน
  2. ผนังช่องคลอด ด้านหน้าหย่อน
  3. ผนังช่องคลอด ด้านหลังหย่อน
  4. ทั้ง 3 ส่วน หย่อนพร้อมกัน คือ มดลูกหย่อน ร่วมกับ ผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลังหย่อน

นอกจากนี้ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน สามารถแบ่งตามอวัยวะที่หย่อนคล้อยแตกต่างกันดังนี้ (ดังรูป)

 

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน ที่แบ่งตามอวัยวะหย่อนคล้อยชนิดต่างๆ

 

กระเพาะปัสสาวะหย่อน ลงมาในช่องคลอด (Cystocele) เกิดขึ้นเมื่อกระเพาะปัสสาวะเคลื่อนตัวหย่อนลงมาจากตำแหน่งปกติ ทำให้มีอาการผิดปกติ เนื่องจากภาวะปัสสาวะลําบาก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หรือ อาจทำให้มีอาการ ปัสสาวะเล็ด ในขณะช่วงที่มีการทํากิจกรรมทางกายภาพบางอย่าง

ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายหย่อน ลงมาในช่องคลอด (Rectocele) เกิดขึ้นเมื่อลำไส้ใหญ่หรือลำไส้ตรงดันผนังช่องคลอด หรือดันผนังช่องคลอดให้ยื่นออกจากช่องคลอด ภาวะลำไส้ส่วนปลายหย่อน มักมีสาเหตุมาจาก อาการบาดเจ็บเรื้อรังจากการคลอดบุตร ส่วนของลำไส้ใหญ่ที่ยื่นออกมาในช่องคลอดนั้น ส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้ยาก จึงเกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง

เลำไส้ส่วนบนหรือส่วนของลำไส้เล็กหย่อน ลงมาในช่องคลอด (Enterocele) เป็นการเคลื่อนตัวของลำไส้เล็กไปดันผนังช่องคลอดด้านหลัง

ท่อปัสสาวะหย่อน ลงมาในช่องคลอด (Urethrocele) มักเกิดขึ้นร่วมกับภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน ซึ่งอาการที่พบได้ คือ มักมีปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่รู้ตัว และกลั้นปัสสาวะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีแรงดันในช่องท้องที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเดิน, การกระโดด, การไอ, การจาม, การหัวเราะ, การเคลื่อนไหว หรือการออกกําลังกาย

มดลูกหย่อน ลงมาในช่องคลอด ( Uterine Prolapse) มักจะเกิดขึ้นเมื่อมดลูกเคลื่อนตัวหย่อนลงมาจากตำแหน่งปกติ ระดับความรุนแรงมีความหลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเคลื่อนตัวลงดังกล่าว ทำให้เกิดน้ำหนักกดลงที่ ปากช่องคลอด หรือมีความรู้สึกเหมือนว่ามดลูกกำลังขยับตัวลง–เหมือนจะหลุดออกจากช่องคลอด

ในทางการแพทย์ สามารถแบ่งระดับความรุนแรงของ ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน ออกเป็น  4  ระดับ

  1. ระดับ  1  คือ มีอาการ ช่องคลอด ไม่ค่อยกระชับ
  2. ระดับ  2  คือ มีภาวะช่องคลอดหย่อน ที่สังเกตเห็นได้ แต่เนื้อเยื่อผนังช่องคลอด ที่หย่อน  ยังไม่โผล่ออกมาด้านนอกของช่องคลอด
  3. ระดับ  3  คือ มีภาวะที่มีการหย่อนของผนัง ช่องคลอด และมีเนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดที่หย่อน ออกมาจากช่องคลอดออกมาบางส่วน
  4. ระดับ  4 คือ กรณีที่มีการหย่อนของผนังช่องคลอดมากที่สุด คือเนื้อเยื่อของผนังช่องคลอด รวมทั้งมดลูก–หย่อนออกมาจากช่องคลอดทั้งหมด สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

การวินิจฉัย ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน ต้องอาศัยสิ่งต่อไปนี้

  • การซักประวัติ และตรวจร่างกาย (History and Physical Examination) 
  • การตรวจสอบการทำงานของ กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยการวัดการบีบตัวของ กระเพาะปัสสาวะ และโดยการวัดความสามารถในการพยุง ท่อปัสสาวะ ของกล้ามเนื้อใน ช่องคลอด
  • การวัดความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่พยุง ช่องคลอด รวมทั้งกล้ามเนื้อหูรูด ทางเดินปัสสาวะ และ ทางเดินอุจจาระ (Strength of Pelvic Floor and Sphincter Muscles)
  • การส่องกล้องเข้าทางท่อปัสสาวะ (Urethrocystoscopy) อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบ กระเพาะปัสสาวะ และ ท่อปัสสาวะ ด้านใน
  • การตรวจสอบโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) กับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ และ ระบบทางเดินปัสสาวะ
  • การตรวจสอบโดยใช้ Magnetic resonance imaging (MRI) กับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ และ ระบบทางเดินปัสสาวะ

กล่าวโดยสรุปคือ แพทย์สามารถให้การวินิจฉัย ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือ ภาวะกระบังลมหย่อน ได้จากการสอบถามอาการผิดปกติ ร่วมกับการตรวจภายใน และการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์จะอาศัยผลลัพธ์ที่ได้ แล้วทำการประเมินระดับความรุนแรงของภาวะนี้ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป

อ่านต่อ>>

ข้ามไปยังทูลบาร์